การประชุมระหว่างนาย ฉิน กัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน และ นาย แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ใช้เวลาหารือร่วมกันนานว่า 5 ชั่วโมง
โดยกระทรวงการต่างประเทศของจีนได้ออกแถลงการณ์ที่ระบุว่า นาย ฉิน กัง ได้ชี้แจงระหว่างการประชุมว่าประเด็นไต้หวันคือปัจจัยหลักที่จะส่งผลกระทบและมีความเสี่ยงมากที่สุดต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ
นอกจากนี้ นาย ฉิน กัง ยังเตือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศที่ตกต่ำลงไม่เป็นผลดีต่อประชาชนของทั้งสองประเทศหรือ เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับความคาดหวังของนานาประเทศ ส่วนการรับมือกับเหตุไม่คาดฝันต่างๆควรเป็นไปอย่างรอบคอบ เป็นมืออาชีพ และสมเหตุสมผล
ขณะที่ นาย แมทธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เปิดเผยว่านาย บลิงเคนได้ย้ำในที่ประชุมถึงความสำคัญของการใช้วิธีทางการทูตและรักษาช่องทางการสื่อสารในทุกๆประเด็นเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดความเข้าใจผิด และ การประเมินที่ผิดพลาด
นอกจากนี้ บลิงเคน ยังเชิญนาย ฉิน กัง เดินทางเยือนกรุงวอชิงตันของสหรัฐฯ เพื่อหารือต่อไป โดยทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะไปเยือนประเทศของแต่ละฝ่ายในเวลาที่เหมาะสมตามการตกลงร่วมกัน
สำหรับ นาย บลิงเคน เป็นเจ้าหน้าที่ทางการทูตระดับสูงที่สุดของสหรัฐที่เดินทางเยือนจีนในรอบ 5 ปี ท่ามกลางความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่เย็นชาและเกิดความตึงเครียดหลายครั้ง โดยเฉพาะด้านการทหารคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
ซาอุฯเตรียมเปิดสถานทูตในอิหร่านอีกครั้ง หลังตัดสัมพันธ์ไปตั้งแต่ปี 2016
รมว.กต.อาเซียน เมิน ประชุมหารือแบบไม่เป็นทางการเรื่องเมียนมาในไทย
แต่เดิม นาย บลิงเคน มีกำหนดเดินทางเยือนกรุงปักกิ่งในเดือน ก.พ. แต่ถูกเลื่อนมาเป็นเดือนนี้ เนื่องจากเกิดข้อพิพาทรัฐบาลจีนถูกกล่าวหาว่าส่งบอลลูนสอดแนมเข้าไปในดินแดนของสหรัฐฯ ขณะที่การสร้างพันธมิตรทางทหารในมหาสมุทรแปซิฟิกที่ประกอบไปด้วยออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และ สหรัฐฯ หรือ AUKUS ซึ่งสร้างความกังวลให้จีนเช่นกัน
ขณะที่ ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ แสดงความมั่นใจว่าการเดินทางเยือนจีนของไบเดน จะช่วยฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ และ แสดงความหวังว่าจะได้มีโอกาสพบกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง
โดยในเดือน พ.ย.นี้สหรัฐฯ จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมความร่วมมือเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือ เอเปค (APEC) ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่าผู้นำจีนจะเดินทางไปร่วมประชุมอย่างแน่นอน ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและสหรัฐฯจะดีขึ้นหรือไม่
